การรักษาด้วยการกินยา หรือฉีดยา (Systemics)
การรักษาด้วยการกินยา หรือฉีดยา จะส่งผลต่อทั้งร่างกายของผู้ป่วย ใช้เฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปานกลางถึงรุนแรงซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการใช้ยา
ทาเฉพาะที่ หรือผลการรักษาด้วยการใช้แสงไม่เป็นที่น่าพอใจ
ไบโอลอจิกส์ เป็นยาตัวใหม่ที่ใช้ในการรักษาโรคสะเก็ดเงิน พัฒนาจากเซลล์สิ่งมีชีวิตต่างจากยารุ่นเก่าที่ประกอบจากส่วนผสมของสารเคมีหลายๆ ตัว จากข้อมูลถึง
เดือน มกราคม 2551 อามีไวฟว์ (Amevive), เอนเบรล (Enbrel), ฮูมิร่า (Humira), แร็พทิว่า (Raptiva) และ เรมิเคด (Remicade) ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการรักษาโรคสะเก็ดเงินจากองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา และ เอนเบรล (Enbrel), ฮูมิร่า (Humira), และ เรมิเคด (Remicade) ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาโรคปวดข้อเนื่องจากโรคสะเก็ดเงิน
ยังมียาไบโอลอจิกส์อีกหลายตัวอยู่ระหว่างการพัฒนาค้นคว้าเพื่อใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน และโรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน
ยาไบโอลอจิกส์เป็นยาใหม่มีการใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินไม่นานนัก ความปลอดภัยของยายังอยู่ในระหว่างการประเมิน นอกจากนี้ ผลข้างเคียงของการใช้ยาต่อเนื่อง
ระยะยาวยังไม่เป็นที่รู้กัน
นอกจากนี้ ยังมียา ไซโคลสโปรีน (Cyclosporine) ซึ่งใช้ในผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายอวัยะป้องกันการต่อต้านไม่ยอมรับอวัยวะที่เปลี่ยนถ่ายไป โดยในปี พศ. 2540 ยานีโอรัล (Neoral) ซึ่งเป็นชื่อการค้าหนึ่งของไซโคลสโปรีน ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาให้ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน
เมโธเทรเซท (Methotrexate) เป็นยาที่ใช้มานานในการรักษาโรคมะเร็ง ต่อมาในช่วงปี พศ. 2493 พบว่ายานี้สามารถรักษาผื่นสะเก็ดเงินให้หายได้ และได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาให้ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินในช่วงปี พศ. 2513
โซริเอเทน (Soriatane) หรือที่เรียกกันว่า เรตินอยด์แบบใช้กิน ได้จากการสังเคราะห์วิตามินเอ มีการเริ่มใช้เรตินอยด์สังเคราะห์ตั้งแต่ช่วงปีพศ. 2513 และได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาในปี พศ.2523 โซริเอเทนเป็นยาเรตินอยด์แบบกินชนิดเดียวที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหาร
และยาให้ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน
นอกจากนี้ ก็ยังมียา แอคคิวเทน (Accutane), ไฮเดรีย (Hydrea), ไมโคเฟโนเลต โมเฟติล (Mycophenolate Mofetil), ซัลฟาซาลาซีน
(Sulfasalazine), 6-ธิโอกูอานีน (6-Thioguanine)
เรียนรู้โรคสะเก็ดเงิน - กลไกการเกิดโรค - การรักษา - เรียนรู้การมีชีวิตอยู่กับโรค
Comments (16)
๘/๔/๕๓ ๑๑:๑๒
ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ สำหรับข้อมูล หาข้อมูลยาฉีดโรคสะเก็ดเงินได้น้อยเหลือเกิน และยากทราบว่าถ้าฉีดในเด็ก อายุ 2 ขวบ จะเป็นยังงัยบ้าง
๘/๔/๕๓ ๑๑:๔๐
ขอบคุณที่สนใจบทความค่ะ หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย
การใช้ยาฉีดรักษาโรคสะเก็ดเงินมีความเสี่ยงอยู่มาก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังเพื่อวินิจฉัย และแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมจะดีกว่า หากอยู่ในกรุงเทพฯ อาจไปพบแพทย์ที่สถาบันโรคผิวหนัง (ติดกับ รพ.เด็ก และ รพ.ราชวิถี ตรงข้ามกับ รพ.มงกุฎฯ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) หากอยู่ต่างจังหวัด ให้พบแพทย์โรคผิวหนังที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด
โดยทั่วไป การรักษามักเริ่มจากการใช้ยาทาเฉพาะที่ ฉายรังสียูวีเฉพาะที่ ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ จึงจะให้ยากิน และสุดท้ายจึงจะเป็นยาฉีด โดยเฉพาะยาฉีดตระกูล ไบโอลอจิกส์ ซึ่งมีราคาแพงมาก (ประมาณ ~ 2 แสนบาท ต่อหนึ่งโดส) นอกจากยาไบโอลอจิกส์ จะมีราคาแพงมากแล้ว ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาน้อยมาก เพราะเพิ่งมีการใช้รักษามาไม่กี่ปี โดยเฉพาะผลข้างเคียงของการใช้ยาระยะยาว ยิ่งในกรณีของการใช้ยาในเด็กเล็กแล้ว แทบไม่มีข้อมูลเลย
ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ โรคนี้บางครั้งก็จะสงบลงได้ถึงแม้จะใช้การรักษาแบบธรรมดา ขอให้ไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับคำแนะนำดีกว่าค่ะ
๓/๕/๕๓ ๒๐:๐๘
ตอนนี้หลาน 2 ขวบได้รับยาฉีด Enbrel มาเกือบเดือนแล้วค่ะ อาการดีขึ้นมาก ๆ เพราะตอนแรก ๆ หลานมีผื่นมากเหมือนเด็กดักแด้เลยค่ะ
๕/๕/๕๓ ๑๙:๓๖
ดีใจด้วยนะคะ ที่หลานอาการดีขึ้น
ในผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาฉีดตระกูลไบโอลอจิกส์ อาการจะดีขึ้นเร็วมาก ในบางรายผื่นจะยุบลงหมดไม่เหลือรอยภายในเวลา 24 ชั่วโมง และฤทธิ์ยาจะยังคงอยู่นาน 2-4 เดือน (ขึ้นกับผู้ป่วยแต่ละราย)
ขอให้มีกำลังใจสู้กับโรคนะคะ ตอนนี้ ความก้าวหน้าทางการแพทย์ไปไกลกว่าเมื่อ 10 ปีก่อนมาก มียาตัวใหม่ๆ จากผลการวิจัยออกมาเป็นระยะ นอกจากนี้ ยาตัวเดิมที่ออกสู่ท้องตลาดแล้ว ก็จะมีราคาลดลงเรื่อยๆ โรคนี้มีคนเป็นกันทั่วโลก ทุกประเทศ ประมาณ 2-3% ของพลเมืองโลกทั้งหมด จึงมีผู้ค้นคว้าวิจัยหาวิธีการรักษาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
ขอให้ครอบครัวของคุณ fullsky อย่ากังวลนะคะ เป็นกำลังใจให้อีกแรงค่ะ
๑๐/๕/๕๓ ๑๖:๒๑
ตอนนี้หลานฉีด Embrel ได้ 6 เข็มแล้วค่ะ ฉีด 2 เข็มแรกอาการดีมากแต่มาช่วงเข็มที่ 4 - 6 มีผื่นแดง ๆ คล้ายผดร้อนเต็มเลยค่ะ
ทำให้เกิดความกังวลว่าน้องจะหาย หรือว่าจะไปในทิศทางไหนค่ะ รู้สึกเป็นกังวลค่ะ ส่วน คชจ. ไม่ต้องพูดถึงว่าค่อนข้างแพงค่ะ
๑๑/๕/๕๓ ๐๕:๕๒
อย่ากังวลเลยค่ะ แพทย์ผู้ให้การรักษาจะคอยดูแลอย่างดีโดยตลอด และเนื่องจากยาไบโอลอจิกส์แต่ละตัว จะมีความเฉพาะเจาะจงกับผู้ป่วยแต่ละราย (ยาบางตัวอาจให้ผลการรักษาดีในผู้ป่วยรายหนึ่ง แต่อาจจะไม่ได้ผลในผู้ป่วยอีกรายก็ได้) แพทย์จะติดตามและประเมินผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง และอาจมีการปรับเปลี่ยนชนิดของยา และปริมาณยา ตามความเหมาะสม ขอให้ทำใจให้สบายค่ะ และขอให้อาการของหลานดีขึ้นนะคะ
๒๓/๖/๕๓ ๑๑:๓๓
Enbrel เข็มละเท่าไหร่คะ
เป็นแล้วอยากหายค่ะ อายคนรอบข้างมากเลย
ใส่เสื้อผ้าแขนสั้นก็ไม่ได้ T^
๒๙/๙/๕๕ ๐๑:๕๔
เป็นคุณแม่ค่ะ แล้วก็เพิ่งทราบผลจากคุณหมอว่าเป็นสะเก็ดเงินจริงๆก็ตอนตั้งครรภ์ค่ะ ตอนนี้ลูกสาว1ขวบพอดีเริ่มมีผื่นแดงๆ ดูแล้วไม่น่าใช่ผื่นผ้าอ้อม(ดูเองนะคะ) แล้วก็เริ่มเป็นเยอะขึ้น ไม่ทราบว่าโรคนี้จะแสดงอาการได้ตั้งแต่ยังเล็กเลยหรือเปล่าคะ สำหรับเด็กรักษาได้ที่ไหนคะ สงสารลูกค่ะเป็นตั้งแต่ก้นตอนนี้หลังก็เริ่มเป็นปื้นๆแดงๆแล้ว
๒๙/๙/๕๕ ๐๒:๑๑
ขอถามอีกข้อ ตอนนี้ลูกเริ่งเป็นส่วนแม่ก็เริ่มใช้ยาทาไม่ได้ผลแล้ว อยากทราบว่าถ้บต้องฉายแสงต้องไปรพ.ไหนคะแล้วค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่คะ
ขอบคุณ คุณหมอที่สละเวลามาตอบนะคะ
จากคุณแม่ลูก1
๒๙/๙/๕๕ ๑๓:๐๙
ขอโทษด้วยนะคะที่ตอบช้า
ขอตอบสามคำถามข้างบนนะคะ
Enbrel เป็นยาควบคุมต้องใช้ภายใต้การกำกับของแพทย์ค่ะ ไม่ทราบจริงๆ ค่ะว่าปัจจุบันราคาเป็นเท่าไร คงต้องสอบถามโดยตรงกับแพทย์ผู้รักษา โดยทั่วไปแพทย์จะพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสมค่ะว่าควรจะได้รับยาตัวไหนดี (อาจไม่จำเป็นต้องเป็นยาตัวนี้ก็ได้ค่ะ ยังมียาอื่นอีกหลายตัวที่สามารถใช้ได้)
ส่วนคุณแม่ที่เพิ่งเริ่มเป็นโรคนี้ และ(คิดว่า)ลูกก็คงเป็นโรคนี้เหมือนกัน อย่าเพิ่งวิตกไปนะคะ เพราะโรคนี้จากผลการศึกษาวิจัยล่าสุด(ขณะนี้ก็ยังมีการวิจัยกันอยู่อย่างต่อเนื่อง)อาจเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง(ไม่ใช่โรคแปลกประหลาดแต่อย่างใด) หากสามารถหลีกเลี่ยงสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้หรือได้รับสารที่ทำให้แพ้ในปริมาณที่น้อย(ที่สุดเท่าที่จะหลีกเลี่ยงได้)อาการก็จะทุเลาลงเอง นอกจากการไปพบแพทย์แล้วอยากให้คุณแม่สังเกตุด้วยค่ะว่าก่อนหน้าที่จะเกิดอาการของโรคได้สัมผัสหรือรับสารอะไรผิดปกติจากที่เคยเป็นมาหรือเปล่า นอกจากนี้สิ่งที่เรากินหรือสัมผัสเป็นประจำทุกวันในอดีตที่ผ่านมาก็อาจเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้เหมือนกัน เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมหรือสูตรการผลิตโดยที่เราไม่ทราบ (เช่น ผงซักฟอก สบู่ แชมพู อาจมีการเปลี่ยนสูตรหรือสารเคมีในการผลิตจากโรงงานผู้ผลิตเองโดยไม่มีการแจ้งผู้บริโภคให้ทราบ) แม้แต่อาหารที่เคยกินเป็นประจำก็อาจเป็นต้นเหตุของภูมิแพ้ได้เช่นกัน (เช่น เนื้อสัตว์ หมู ไก่ ปลา ปัจจุบันมีการใช้ฮอร์โมนเร่งเนื้อ เร่งโต ซึ่งจะมีฤทธิ์ตกค้างในเนื้ออยู่ หากเราแพ้ฮอร์โมนพวกนี้ก็อาจทำให้เกิดอาการของโรคได้)
นอกจากนี้บางคนอาจแพ้สภาพแวดล้อม เช่น อากาศร้อน หรือเย็น อากาศแห้ง หรือชื้น อาจแพ้เหงื่อ แพ้สัมผัส (บางคนจะมีผื่นขึ้นหากเอาเล็บกรีดโดนผิวหนัง) ต้องสังเกตุเอาเองค่ะ อาจต้องจดบันทึกทุกวันว่าได้กินอะไรไปบ้าง แล้วดูความสัมพันธ์กับความถี่และความรุนแรงของผื่นที่ขึ้น แต่ต้องใช้ยาที่แพทย์ให้มาตลอดนะคะ เพราะผื่นที่ขึ้นมาแล้วจะไม่ยุบหายไปด้วยตัวเองต่อให้เราไม่ได้รับสารที่ทำให้แพ้แล้วก็ตาม
สำหรับเด็กทารกที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ อาจป้องกันหรือบรรเทาได้ด้วยการให้กินนมแม่ค่ะ คงต้องพบแพทย์หากผื่นที่ขึ้นมีปริมาณมากหรืออาการแย่ลง
อย่างไรก็ดี แพทย์แนะนำว่าไม่ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้โดยสิ้นเชิงเพราะมักพบว่าอาการแพ้จะรุนแรงมากขึ้นหากได้รับสารนั้นซ้ำอีกครั้ง ควรใช้วิธีรับสารที่ทำให้แพ้ในปริมาณน้อยๆ เป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายคุ้นเคย อาจจะทำให้อาการแพ้น้อยลงหรืออาจจะไม่แพ้เลยก็ได้ในระยะยาว
เป็นกำลังใจให้นะคะ อย่าวิตกมากเกินไป ทุกวันนี้มีองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่ได้จากการศึกษาวิจัยโรคนี้ออกมาเรื่อยๆ มีแนวทางการรักษาใหม่ๆ ทุกปี ขอให้รักษาสุขภาพ กินอาหารครบหมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้พอเพียง เป็นแนวทางการปฏิบัติตัวเบื้องต้นพื้นฐานที่จะช่วยปัดเป่าโรคภัยได้ค่ะ
๒๙/๙/๕๕ ๑๓:๑๗
แนวทางการรักษานอกจากใช้ยาทาเฉพาะที่แล้ว อาจให้ยากิน หรือฉายแสง แต่จะเลือกใช้วิธีใดขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ให้การรักษาค่ะ โรงพยาบาลของรัฐขนาดใหญ่จะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังที่สามารถให้การรักษาโรคนี้ได้ หรืออาจมาพบแพทย์ที่สถาบันโรคผิวหนังหากอยู่กรุงเทพ (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ http://www.inderm.go.th/)
นอกจากการรักษากับแพทย์แล้ว อยากให้สังเกตุดูว่าตัวเองอาจจะแพ้อะไรควบคู่ไปด้วยค่ะ เพราะการใช้ยา หรือฉายแสง เป็นการรักษาเมื่อมีอาการแล้ว แต่การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้แพ้เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ เป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนค่ะ
๒๙/๙/๕๕ ๑๓:๒๔
ตอบคำถามคุณแม่ลูก 1
ถ้าลูกมีผื่นขึ้นมากแนะนำให้พบแพทย์ค่ะ เพราะต้องรักษาอาการผื่นก่อน ส่วนสาเหตุว่าจะเป็นโรคสะเก็ดเงิน หรือแค่แพ้ผ้าอ้อม ต้องหาและเฝ้าดูต่อค่ะ เด็กอาจแพ้อาหารก็ได้นะคะ ปัจจุบันพบเด็กที่แพ้แป้งสาลี ไข่ นมวัว นมถั่วเหลือง ถั่วลิสง ฯลฯ มากขึ้น โดยทั่วไปถ้าพบว่าแพ้อาหารตัวใดจะให้หยุดกินทันที หลังจากที่เด็กโตขึ้น (อาจจะสามขวบขึ้นไป) ค่อยลองให้กินอีกครั้งหนึ่ง อาการแพ้อาหารอาจหายไปได้เองค่ะ
๒๔/๑/๕๖ ๑๐:๓๖
ขอโทษรบกวน ถาม เนื่องจากตอนนี้ อายุ26 เปนมา7ปีแล้วคะ ตอนนี้เริ่มขึ้นที่หน้ามากขึ้น ซึ่งเราเปนบุคลากรด้านการแพทย์อยากบอกว่าอายมากๆๆๆช่วยแนะนำหน่อยค่ที่ตัวก้อเปนประปราย แต่ค่อนข้างเครียด มากๆๆๆ ถามว่าจะ)ีดยาได้ปะคะ แล้วที่หน้าจะทำไงดี
๒๔/๑/๕๖ ๑๔:๑๙
แนะนำให้กลับไปพบแพทย์อีกทีค่ะ แพทย์จะพิจารณาสั่งยาที่เหมาะสมให้ตามอาการที่เป็นอยู่ ถ้าผื่นไม่มากนักอาจจะให้ใช้ยาทาเฉพาะที่ อาจเป็นสเตียรอยด์ (ชนิดฤทธิ์ไม่รุนแรง) หรือยาตระกูลไบโอลอจิคส์ ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายหลายยี่ห้อ (แต่ราคายังค่อนข้างแพง) การรักษาด้วยยาฉีดควรจะใช้ในกรณีที่รักษาด้วยการทายา ฉายแสง หรือกินยา ไม่ได้ผลดี นอกจากนี้ ควรดูแลสุขภาพตามหลักสุขบัญญัติ (กินอาหารครบหมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาความสะอาดของร่างกาย ขับถ่ายเป็นเวลา) และลดความเครียดซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งที่ทำให้อาการของโรคแย่ลง ควรสังเกตุและบันทึกว่าอาการผื่นรุนแรงขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในชีวิตประจำวันบ้าง (เช่น เปลี่ยนฤดูกาล อากาศร้อนหรือเย็นขึ้น กินอาหารบางประเภท ฯลฯ) สิ่งนั้นอาจเป็นตัวกระตุ้นให้อาการแย่ลง ให้หลีกเลี่ยงสิ่งนั้นถ้าทำได้ เป็นกำลังใจให้นะคะ โรคนี้ถ้าหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น และใช้ยาเมื่อมีผื่นขึ้นมาก จะสามารถควบคุมอาการให้ทรงตัวใกล้เคียงกับคนปกติทั่วไปได้ค่ะ
๔/๔/๕๗ ๑๖:๓๐
ตอนนี้มีปัญหาที่เล็บอ่ะคับจากสะเก็ดเงิน มียาตัวใหนบ้างคับที่ใช้แล้วใด้ผล ถ้ามีจะหาซื้อใด้ที่ครับ ปล. ใช้ยาทาของโรงบาลและคลินิคมาเยอะแล้วผลดีขึ้นเล็กน้อยคับ
๔/๔/๕๗ ๑๗:๒๖
การไปพบแพทย์เป็นการรักษาที่ถูกทางแล้วค่ะ
แต่ต้องยอมรับว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์ยังมีขีดจำกัด ไม่สามารถรักษาทุกโรคให้หายได้ ขณะนี้มีการศึกษาวิจัยโรคนี้อย่างต่อเนื่อง ต้องรอแนวทางรักษาใหม่ๆ ค่ะ
ระหว่างนี้ นอกจากใช้ยาที่คุณหมอจ่ายให้แล้ว อาจลองอีกวิธีหนึ่งที่มีการใช้กันในต่างประเทศ ให้ผลดีในผู้ป่วยบางราย แต่บางรายก็ไม่ได้ผล แนะนำให้ลองดูค่ะ เพราะสามารถทำเองที่บ้านได้ สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย เรียกการรักษาแบบนี้ว่า การแช่น้ำคลอรีน (Bleach Bath)
ผสมน้ำยาซักผ้าขาว (ยี่ห้อไหนก็ได้ค่ะ ที่รู้จักกันมานานก็เช่น ไฮเตอร์ (ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ)) กับน้ำสะอาด อัตราส่วน น้ำยาซักผ้า 1 ซีซี ต่อน้ำสะอาด 1.5-3.0 ลิตร (หรือ 1 ฝา ต่อน้ำสะอาด 15-30 ลิตร) แล้วแช่มือลงไปในน้ำนาน 10 นาที ทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง วิธีนี้ยังสามารถใช้ได้กับผิวหนังส่วนอื่นที่เป็นรอยโรคได้ด้วย แต่ต้องระวังอย่าให้น้ำผสมคลอรีนเข้าตา
หลักคิดของวิธีนี้คือ มีข้อสมมุติฐานว่าสาเหตุของโรคเกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ที่ผิวหนัง โดยผู้ป่วยโรคนี้จะไวต่อแบคทีเรียชนิดนี้มากกว่าคนปกติ ทำให้เกิดอาการแพ้ การแช่น้ำคลอรีนจะช่วยฆ่าแบคทีเรียให้น้อยลง ทำให้อาการแพ้น้อยลง ผื่นทุเลาลง
เนื่องจากการแช่น้ำคลอรีนทำให้ผิวแห้งมากขึ้น แนะนำให้ใช้น้ำมันทาผิว (เช่น เบบี้ออยล์) ทาผิวหลังจากเสร็จจากการแช่น้ำ สำหรับเล็บที่มีรอยโรค อาจจะใช้น้ำมันชโลมให้ทั่วให้น้ำมันซึมเข้าไปใต้ผิว ก็จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ทำให้อาการแพ้น้อยลงได้
ไม่แนะนำให้แช่น้ำคลอรีนถี่เกินไปนะคะ เต็มที่ไม่ควรเกินอาทิตย์ละ 3 วัน และถ้าอาการดีขึ้นก็อาจงด หรือทิ้งระยะห่างให้มากขึ้นได้ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันแบคทีเรียดื้อคลอรีนด้วยค่ะ ซึ่งถ้าแบคทีเรียดื้อคลอรีนแล้วจะทำให้วิธีนี้ไม่ได้ผล
หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ
แสดงความคิดเห็น